นางพิมพา บุญเย็น นักศึกษาสาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี รุ่นที่ 2
ศูนย์โรงเรียนท่าตูมประชาเสริมวิทย์ จ.สุรินทร์
1.ชื่อนวัตกรรม
แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำยาก กลุ่มสาระภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
2.นวัตกรรมด้านใด
เป็นนวัตกรรมการศึกษาด้านการแก้ปัญหาการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
3 ความสำคัญของนวัตกรรม
ภาษาไทยเป็นมรดกที่คนในชาติภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นที่รวมของทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นสื่อถ่ายทอดประวัติศาสตร์ ศิลปวิทยาการ และเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารที่ช่วยทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจกันได้ นอกจากนี้ภาษายังเป็นเครื่องมือในการศึกษาหาความรู้เพื่อเพิ่มพูนปัญญาและความก้าวหน้าของคน ภาษาของชนชาติใดย่อมมีความสำคัญต่อคนในชาตินั้น ภาษาไทยจึงเป็นสัญลักษณ์ที่มีความสำคัญยิ่งต่อคนไทย ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งของชาติที่คนไทยทุกคนควรภูมิใจและช่วยกันธำรงรักษาไว้ อีกทั้งยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ในชีวิตประจำวันในการดำรงตนเป็นพลเมืองดีในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ภาษาไทยจึงเป็นศาสตร์ที่มีความสำคัญที่สุดในชีวิต เพราะมนุษย์ต้องใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้เพิ่มเติม และการที่ผู้เรียนจะนำความรู้วิชาภาษาไทยไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการฝึกฝนทักษะทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ การฟัง ดู พูด อ่านและเขียน ในบรรดาทักษะทั้งสี่การเขียนเป็นทักษะถือเป็นการถ่ายทอดความคิดความรู้สึก และความเข้าใจของตนเองออกมาเป็นตัวอักษรเพื่อสื่อความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจ ในการเรียนการสอนทุกวิชาจะต้องอาศัยการเขียนเป็นเครื่องช่วยบันทึกความจำ จึงนับได้ว่าการเขียนเป็นรากฐานที่สำคัญในการเรียนวิชาต่าง ๆ การเขียนจึงถือได้ว่าเป็นการสื่อสารที่ซับซ้อนมากกว่าทักษะอื่น (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. 2550)
ปัจจุบันทักษะการอ่านและการเขียนพบว่ามีปัญหาในเรื่องรูปแบบที่เขียนผิด โดยมีปัญหามากในการเขียนผิดที่ การใช้ตัวการันต์ผิดที่ วรรณยุกต์ผิดที่ ตัวสะกดผิดที่ สระเสียงสั้น-ยาว ใช้พยัญชนะผิด เป็นต้น สำหรับคำยากและคำที่อยู่ในระดับยากมากที่นักเรียนเขียนผิดมากได้แก่ คำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดหรือสะกดพร้อมกัน 2 ตัว คำที่มีหลายพยางค์ คำที่มีตัวการันต์ คำที่มีอักษรควบกล้ำ คำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด คำที่มีวรรณยุกต์กำกับ คำที่ประวิสรรชนีย์ คำที่ผสมด้วยสระ ใ ไ คำที่มี ห นำ และคำที่มีทัณฑฆาตกำกับ (ทฤษฏี ธีระวัฒนพานิช. 2536 ) ซึ่งพบได้จากการตรวจแบบฝึกหัดและการตรวจข้อสอบวัดผลปลายภาคเรียน ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ และจากผลการวิจัยสภาพการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในโรงเรียนระดับประถมศึกษาของกองวิจัยทางการศึกษา กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ของการเรียนภาษาไทยของนักเรียน แบบเฉลี่ยอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ สมรรถภาพที่มีปัญหา ได้แก่ ทักษะการอ่านและการเขียน
นอกจากนี้นักเรียนส่วนใหญ่ทั้งระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษามักจะเขียนหนังสือไม่ถูกต้องได้แก่ การสะกดคำผิด การใช้การันต์และการใช้หลักภาษาตลอดจนการเขียนที่ไม่ถูกต้อง เช่น การเขียนที่ปรากฏต่อสาธารณะชนส่วนหนึ่งมักพบว่าเขียนผิดในลักษณะดังกล่าวข้างต้น ได้แก่ คำโฆษณาต่างๆ เป็นต้น ในระดับประถมศึกษาการเขียนสะกดคำผิดถือว่าเป็นปัญหาที่สำคัญต่อการแสดงออกทางการเขียนของเด็ก เพราะเด็กไม่สามารถสะกดคำเขียนตามเจตนาของตนเองได้ (บันลือ พฤกษะวัน. 2531) จะเห็นว่าการเขียนสะกดคำเป็นส่วนหนึ่งของการเขียน โดยถือว่าเป็นทักษะการเขียนที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะการเขียนสะกดได้ถูกจะช่วยให้อ่านออกและเขียนได้ถูกต้อง ช่วยให้นักเรียนรู้จักคำต่างๆ ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน (วรรณี โสมประยูร. 2537 ) ซึ่งส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ จากผลการประเมินคุณภาพของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ของสำนักทดสอบทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ในปีการศึกษา 2550 พบว่ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยมีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 72.46 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ ร้อยละ 75 ซึ่งเป็นไปในทำนองเดียวกันกับผลการประเมินผลคุณภาพของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนบ้านหนองตอ-บัวเสียวที่พบว่า กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยมีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 70.40 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่โรงเรียนกำหนดไว้ คือร้อยละ 75 จะเห็นได้ว่าสมรรถภาพในการเขียนของนักเรียนอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่าพอใจ เมื่อเทียบกับสมรรถภาพด้านอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาด้านการสะกดคำผิดในเรื่องสระ พยัญชนะ และวรรณยุกต์สูงมาก ทำให้มีปัญหาในด้านการเรียนภาษาไทย เด็กอ่านไม่ออกและเขียนไม่ถูกต้อง
การเขียนสะกดคำที่ถูกต้องเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ภาษาไทยอย่างมีประสิทธิภาพ คนไทยทุกคนจึงควรตระหนักถึงปัญหาการเขียนสะกดคำผิดและช่วยกันแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง ปัญหาในการเขียนสะกดคำผิดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาในปัจจุบัน พบว่านักเรียนส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่อง การเขียนสะกดคำผิดมาก ทั้งนี้เนื่องจากสาเหตุหลายประการ เช่น การมีประสบการณ์ผิด การเขียนตามเสียงพูด เสียงอ่าน หรือเขียนผิดเพราะการเดา ซึ่งถ้าจะวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่แท้จริง ของการเขียนสะกดคำผิดของนักเรียนนั้น น่าจะเป็นเพราะนักเรียนสับสนในเรื่องของเสียงอ่าน เสียงพูด กับตัวอักษรที่ใช้เรียน วิธีการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้ดีที่สุดคือ ครูผู้สอนต้องมีส่วนสำคัญโดยตรงที่จะช่วยแก้ไขในข้อบกพร่องให้แก่นักเรียน ครูควรหาวิธีสอนและจัดกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัยของนักเรียน เลือกคำมาสอนและฝึกทักษะการเขียน ตามลำดับความยากง่าย การสร้างแบบฝึกทักษะ เพื่อใช้เสริมหลังจากเรียนเนื้อหาไปแล้ว จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะแบบฝึกทักษะการสะกดคำ จะช่วยให้ครูสามารถแก้ไขข้อบกพร่องในการเขียนสะกดคำของนักเรียนได้ ตามหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ (Thondike) ซึ่งกล่าวไว้ว่า การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีก็ต่อเมื่อได้รับการฝึกฝนหรือการกระทำซ้ำ ภาษาไทยเป็นวิชาทักษะ โดยลักษณะวิชาแล้ว ผู้เรียนจะมีทักษะทางภาษาดี มีความรู้ ความเข้าใจ และเกิดทัศนคติที่ดีต่อภาษาไทย ก็ต่อเมื่อได้ฝึกฝนและกระทำซ้ำ ถ้าผู้เขียนได้ฝึกฝน ได้ทำแบบฝึกหัด ได้ใช้ทักษะทางภาษามากเท่าใดก็จะช่วยให้มีทักษะดีมากขึ้นเท่านั้น (สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์. 2523 ) นอกจากนี้ การจัดการเรียนการสอนภาษาไทย ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานในปัจจุบันมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเรียนอย่างมีความหมาย เกิดทักษะกระบวนการ และความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ทั้งทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน และสามารถสื่อความหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะทักษะในการเขียนสะกดคำ
4.กระบวนการพัฒนานวัตกรรม
4.1วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการนำนวัตกรรมไปใช้
4.1.1เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำยากวิชาภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 3ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
4.1.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย เรื่องคำยากของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3ระหว่างก่อนใช้แบบฝึกกับหลังการใช้แบบฝึกการสะกดคำยาก
4.1.3 เพื่อศึกษาเจตนคติของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำยากเป็นสื่อการเรียน
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
วิชัย เพ็ชรเรือง (2531 : 130) ได้สร้างแบบฝึกซ่อมเสริมในการอ่านภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสุนทรพัฒนา จังหวัดชัยภูมิ จำนวน 80 คนผลการวิจัยพบว่า นักเรียนกลุ่มที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกซ่อมเสริม ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีความสามารถในการอ่านสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกซ่อมเสริม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
สุรศักดิ์ กาญจนการุณ (2531 : 85) ได้ศึกษาเปรียบเทียบความเข้าใจในการอ่านการเขียน และความคงทนในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่พูดภาษาเขมรเป็นภาษาแม่ ที่ได้รับการสอนโดยวิธีมุ่งประสบการณ์ภาษากับวิธีสอนแบบปกติ ในวิชาภาษาไทยผลการทดลองปรากฏว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนโดยวิธีมุ่งประสบการณ์ภาษา มีความเข้าใจในการอ่านการเขียน และความคงทนในการเรียนรู้สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนโดยวธีสอนแบบปกติ
จรัสศรี กิจบัญญัติอนันต์ (2532 : บทคัดย่อ) ศึกษาเปรียบเทียบความเข้าใจในการอ่าน การเขียนคำ และทัศฯคติต่อวิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จังหวัดขอนแก่น ที่ได้รับการสอนแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา กับการสอนปกติ ผลการทดลองปรากฏว่านักเรียนที่ได้รับการสอนโดยวิธีมุ่งประสบการณ์ภาษามีความมเข้าใจในการอ่าน การเขียน และทัศนคติต่อวิชาภาษาไทยสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนโดยวิธีสอนแบบปกติ
สุชาดา ชาทอง (2534 : 76-77) ได้ศึกษาลักษณะข้อผิดพลาดในการเขียนภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยนำไปทดลองกับนักเรียนในสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสงขลา จำนวน 45 โรง ผลการวิจัยพบว่า ลักษณะข้อผิดพลาดในการเขียนสะกดการันต์มีดังนี้
1. ใช้พยัญชนะต้นผิด
2. การใช้สระผิด
3. การใช้สะกดการันต์ผิด
4. การใช้วรรณยุกต์ผิด
5. การใช้พยัญชนะต้นและพยัญชนะสะกดผิด
ยุพาภรณ์ ชาวเชียงขวาง (2535 : 65) ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนเรียงความโดยใช้แบบฝึกทีกษะการเขียนเรียงความกับการสอนปกติ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนบ้านเชียงบาน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ผลการทดลองพบว่าแบบฝึกทักษะการเขียนเรียงความมีประสิทธิภาพ 80.11/86.43 เป็นไปตามกฎเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ความสามารถการเขียนเรียงความของนักเรียนที่ใช้แบบฝึกการสอนแบบปกติ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01
ปัญญา บัววัจนา (2536 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนจดหมายกลุ่มทักษะภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการฝึกโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนจดหมายกับโดยใช้แบบฝึกหัดตามคู่มือครูการสอนวิชาภาษาไทย ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนจดหมายกลุ่มทักษะภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01
ชวนจิต ภูมาตย์ (2537 : 65) ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการเขียนสะกดคำว่าการเขียนเป็นทักษะที่นักเรียนจะฝึกได้ช้ากว่าทักษะอื่นๆ ทักษะการเขียนเป็นทักษะที่ยุ่งยากซับซ้อนฉะนั้นเด็กต้องมีความพร้อมโดยฝึกทักษะการฟังการเขียนในระดับ ป.1-2 มุ่งเน้นทักษะพื้นฐานในการเขียนและช่วยให้เขียนอย่างสนุกสนานไม่เบื่อ โดยการจัดกิจกรรมต่างๆให้ฝึกจากยากไปหาง่ายและให้ความสัมพันธ์ การพูด การอ่าน
นิภาลักษณ์ ยอดยิ่ง (2539 : 82) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการสร้างแบบฝึกเสริมทักษะกิจกรรมขั้นตอนที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพ ประกอบการสอนภาษาไทยแบบมุ่งประสบการณ์การภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เรื่องฉันรักต้นไม้ ผลการวิจัยปรากฏว่า แบบฝึกเสริมทักษะที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพมาตรฐาน 80/80 และคะแนนการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
อดุลย์ ภูปลื้ม (2539 : 61) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการเขียนสะกดคำขอนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกที่จัดคำเป็นกลุ่มคำยาก ง่ายกับแบบฝึกที่จัดคำคละคำผลการวิจัยปรากฏว่า การเขียนสะกดคำของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกที่จัดคำเป็นกลุ่มคำกับแบบฝึกที่จัดคำคละคำแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
มนทิรา ภักดีณรงค์ (2540 : 82 ) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการสร้างแบฝึกกิจกรรมขั้นตอนที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพ และความคงทนในการเรียนรู้เรื่องยังไม่สายเกินไปวิชาภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยการสอนแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา ผลการวิจัยปรากฏว่า แบบฝึกเสริมทักษะที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพมาตรฐาน 80/80 และคะแนนการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
จากการวิจัยเกี่ยวกับการสอนสะกดคำ พอสรุปได้ว่า การสอนและสะกดคำที่จะให้ได้ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนสะกดคำนั้นมีหลายแบบ ได้แก่ การสอนโดยการเลียนแบบ การสังเกตการให้นักเรียนรู้จักตัวอักษร ได้รู้จักตัวอย่างทั้งหมดก่อน การเขียนตามคำบอก การฟังและการมองเห็นภาพในขณะที่ฟัง สิ่งสำคัญอย่างยิ่งก็คือนักเรียนจะต้องออกเสียงให้ถูกต้องซึ่งจะช่วยให้การเขียนสะกดคำมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจสอบ
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้มี 4 ชนิด คือ
1 แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำยากกลุ่มสาระกรเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งเป็นแบบฝึกที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
2 แผนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำยากกลุ่มสาระกรเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
1แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย เรื่องการอ่านและเขียนคำยาก ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ จำนวน 30 ข้อ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นแล้วนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาไทยและการวัดผลการศึกษาตรวจความตรงเชิงโครงสร้าง ความตรงเชิงเนื้อหา รวมทั้งคำศัพท์ สำนวนภาษา ตัวเลือก เพื่อแก้ไขปรับปรุงก่อนที่จะนำไปทดลองสอบเพื่อหาประสิทธิภาพของข้อสอบก่อนนำไปใช้จริงในการวิจัย
2 แบบวัดเจตคติของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำยากกลุ่มสาระกรเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
วิธีการสร้างนวัตกรรม
ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตามขั้นตอน ดังนี้
1.การสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำยากกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยศึกษาสาระการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง มาตรฐานการเรียนรู้และศึกษาคู่มือครู หนังสือเรียนและแบบฝึกหัด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สำนักวิชาการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
1.2 ศึกษาหลักจิตวิทยา เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบฝึกทักษะเพื่อเป็นแนวทางในการสร้างแบบฝึกทักษะที่ดี
1.3 นำคำยากที่ผู้วิจัยรวบรวมไว้สำหรับการเรียนภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 จำนวน 122 คำ มาสร้างเป็นแบบฝึกทักษะการสะกดคำยาก โดยให้ครอบคลุมเนื้อหา จุดประสงค์การเรียนรู้โดยแยกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1.3.1 แบบฝึกทักษะการสะกดคำยากคำที่มีอักษรนำ 1 ชุด
1.3.2 แบบฝึกทักษะการสะกดคำยากคำที่มีตัวการันต์ 3 ชุด
1.3.3 แบบฝึกทักษะการสะกดคำยากคำควบกล้ำ 3 ชุด
1.3.4 แบบฝึกทักษะการสะกดคำยากไม่ตรงตามมาตรา 3 ชุด
1.4 นำแบบฝึกทักษะที่สร้างขึ้น เสนอผู้เชี่ยวชาญด้านการสอน
ภาษาไทยและด้านเทคโนโลยีการศึกษา เพื่อพิจารณาตรวจสอบและให้ข้อเสนอแนะ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง
1 นายยรรยง ผิวอ่อน ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ หัวหน้าหน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 2
2 นายสุภพ ไชยทอง ศึกษานิเทศก์ชำนาญการ ฝ่ายวิจัยและวัดผลการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 2
3.นางสาวสิริพรรณ ช่วยบุดดา ครูชำนาญการพิเศษ สาขาภาษาไทย โรงเรียนบ้านธาตุ ตำบลธาตุ อำเภอรัตนบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 2
4. นายสนั่น เมยท่าแค ศึกษานิเทศก์ชำนาญการ ฝ่ายวิจัยและวัดผลการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาศรีสะเกษ เขต 2
5.นายสมพล คำสัตย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองตอ - บัวเสียว
ตำบลดอนแรด อำเภอรัตนบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 2
ผู้เชี่ยวชาญประเมินโดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนตามแบบประเมินของลิเคอร์ท (Likert) เป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ซึ่งมี 5 ระดับ คือ เหมาะสมมากที่สุด เหมาะสมมาก เหมาะสมปานกลาง เหมาะสมน้อยที่สุด (บุญชม ศรีสะอาด. 2545)
กำหนดเกณฑ์การตัดสินผลการประเมิน ดังนี้
คะแนน แปลความหมาย
4.51-5.0 เหมาะสมมากที่สุด
3.51-4.50 เหมาะสมมาก
2.51-3.50 เหมาะสมปานกลาง
1.51-2.50 เหมาะสมน้อย
1.00-1.50 เหมาะสมน้อยที่สุด
นำแบบประเมินแบบฝึกทักษะที่ผู้เชี่ยวชาญประเมินหาค่าเฉลี่ยโดยยึดเกณฑ์คะแนนเฉลี่ย
3.50 ถึง 5.00 เป็นเกณฑ์ที่ตัดสิน ปรากฏว่าแบบฝึกทักษะที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นได้รับความคิดเห็นตั้งแต่ค่าเฉลี่ย 4.50 ถึง ซึ่งอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมมากที่สุด
1.6 นำแบบฝึกทักษะไปทดลองใช้กับนักเรียนกลุ่มย่อยแบบ 1 ต่อ 1 กับนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านบึง ตำบลดอนแรด อำเภอรัตนบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 2 จำนวน 3 คน คือ นักเรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อนอย่างละ 1 คน เพื่อศึกษาความเหมาะสมของการใช้ภาษา เวลา เนื้อหาและระดับชั้น
1.7 นำแบบฝึกทักษะที่ทดลองใช้แล้วมาประปรับปรุงแก้ไขเกี่ยวกับการใช้ภาษา เวลา เนื้อหา และคำสั่งในแต่ละกิจกรรมของแบบฝึกซึ่งพบว่าเนื้อหาบางกิจกรรมมากเกินไปนักเรียน ทำไม่ทันเวลาที่กำหนดไว้
1.8 นำแบบฝึกทักษะที่ปรับปรุงข้อบกพร่องเสร็จแล้วไปทดลองกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3โรเรียนบ้านธาตุ จำนวน 9 คน โดยใช้นักเรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อน อย่างละ 3 คน ซึ่งพบว่านักเรียนสามารถทำกิจกรรมในแบบฝึกทักษะแต่ละชุดเสร็จทันเวลาที่กำหนดไว้และแก้ไขคำสั่งในกิจกรรมที่ 5 ไม่ชัดเจนแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข
1.9 นำแบบฝึกทักษะการสะกดคำยากที่ปรับปรุงแก้ไขในเรื่องของคำสั่งที่ใช้ในกิจกรรมแล้ว เสนอผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม เพื่อพิจารณาตรวจสอบและให้ข้อเสนอแนะ ซึ่งพบว่าแบบฝึกทักษะมีความเหมะสมในเรื่องของการใช้ภาษา เวลา เนื้อหา และระดับชั้นทั้ง 10 ชุด
1.10 นำแบบฝึกทักษะที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วเขียนเป็นฉบับจริง เพื่อนำไปใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย
การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่องการสะกดคำยาก ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตามขั้นตอน ดังนี้
2.1 ศึกษาทฤษฎี หลักการ และแนวคิด การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์แบบ อิงเกณฑ์ของบุญชม ศรีสะอาด (2545) และการวัดผลการศึกษาของสมนึก ภัททิยธนี (2541) คู่มือการประเมินผลการเรียน ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน คู่มือจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย และการวัดและประเมินผลอิงมาตรฐานการเรียนรู้ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
2.2 สร้างแบบทดสอบการเขียนสะกดคำยากแบบปรนัยชนิดเลือกตอบแบบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ โดยให้ครอบคลุมเนื้อหาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1
2.3 นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเสนอผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาความเที่ยงตรงตามเนื้อหาความเหมาะสมของภาษาที่ใช้ และประเมินความสอดคล้อง ระหว่างจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมกับแบบทดสอบ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนดังนี้
ให้คะแนน 1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
ให้คะแนน 0 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นไม่วัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
โดยผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจสอบความเที่ยงตรงของแบบทดสอบประกอบด้วย
1. นายสุภพ ไชยทอง ศึกษานิเทศก์ชำนาญการ ฝ่ายวิจัยและวัดผลการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 2
2. นางสาวสิริพรรณ ช่วยบุดดา ครูชำนาญการพิเศษ สาขาภาษาไทย โรงเรียนบ้านธาตุ ตำบลธาตุ อำเภอรัตนบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 2
3. นายสนั่น เมยท่าแค ศึกษานิเทศก์ชำนาญการ ฝ่ายวิจัยและวัดผลการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาศรีสะเกษ เขต 2
2.4วิเคราะห์ข้อมูลการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่างข้อคำถามของแบบทดสอบกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยใช้สูตร IOC (สมนึก ภัททิยนี. 2541) โดยเลือกข้อสอบที่มีค่า IOC ตั้งแต่ .50 ถึง 1.00 ซึ่งค่าเฉลี่ยรวมได้ 0.98 เป็นข้อสอบที่อยู่ในเกณฑ์ความเที่ยงตรง เชิงเนื้อหาที่ใช้ได้
2.5 นำแบบทดสอบไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้าน ธาตุ ตำบลธาตุ อำเภอรัตนบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 2 จำนวน 21 คน แล้วนำมาตรวจและให้คะแนน โดยตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบผิดให้ 0 คะแนน
2.6 นำผลการสอบมาวิเคราะห์ค่าความยากง่าย (p) และอำนาจจำแนก (r) แล้วพิจารณาข้อสอบที่มีระดับความยากง่ายระหว่าง .20 ถึง .80 ค่าอำนาจจำแนก .20 ขึ้นไป คัดเลือกมาจำนวน 30 ข้อ เพื่อใช้เป็นข้อทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน สำหรับการวิจัยในครั้งนี้
2.8 จัดพิมพ์ข้อสอบที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ จำนวน 30 ข้อเพื่อใช้เป็นแบบทดสอบฉบับจริงเพื่อใช้ในการวิจัยครั้งนี้
การสร้างและพัฒนาแผนการสอนตามรูปแบบการสอนอ่านและเขียนคำยาก กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้แบบฝึกทักษะ
ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตามขั้นตอนดังนี้
1. ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยศึกษาสาระการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง มาตรฐานการเรียนรู้และศึกษาคู่มือครู หนังสือเรียนและแบบฝึกหัด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สำนักวิชาการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
2. ศึกษารูปแบบการสอนจากการสังเคราะห์หลักการ ทฤษฎีการสอน การใช้สื่อการสอน ซึ่งจะได้รูปแบบการสอนที่ประกอบด้วย เป้าหมาย หลักการ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลการสอน บทบาทครูและนักเรียน และบรรยากาศในชั้นเรียน
3. จัดทำแผนการสอนตามแบบฝึกที่ได้จัดสร้างไว้แล้ว จำนวน 10 แผน คือ
แผนการสอนที่ 1 เรื่อง คำที่มีอักษรนำ
แผนการสอนที่ 2 เรื่อง คำที่มีตัวการันต์
แผนการสอนที่ 3 เรื่อง คำที่มีตัวการันต์
แผนการสอนที่ 4 เรื่อง คำที่มีตัวการันต์
แผนการสอนที่ 5 เรื่อง คำควบกล้ำ
แผนการสอนที่ 6 เรื่อง คำควบกล้ำ
แผนการสอนที่ 7 เรื่อง คำควบกล้ำ
แผนการสอนที่ 8 เรื่อง คำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา
แผนการสอนที่ 9 เรื่อง คำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา
แผนการสอนที่ 10 เรื่อง คำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา
โดยแต่ละแผนการสอนใช้เวลาสอนแผนละ 1 ชั่วโมง
4. นำแผนการสอนที่สร้างขึ้น ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องเชิงเนื้อหา จำนวน 3 ท่านซึ่งผู้เชี่ยวชาญประกอบด้วย
1. นายยรรยง ผิวอ่อน ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ หัวหน้าหน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 2
2. นางสาวสิริพรรณ ช่วยบุดดา ครูชำนาญการพิเศษ สาขาภาษาไทย โรงเรียนบ้านธาตุ ตำบลธาตุ อำเภอรัตนบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 2
3. นายสมพล คำสัตย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองตอ - บัวเสียว
ตำบลดอนแรด อำเภอรัตนบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 2
5. ปรับปรุงแผนการสอน ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้แผนการสอนที่มีประสิทธิภาพด้านการแก้โจทย์ปัญหาอย่างแท้จริงก่อนนำไปใช้
4.แบบวัดเจตคติของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกการเขียนสะกดคำยาก มีวิธีการสร้างดังนี้
1. ศึกษาเอกสาร หลักการและวิธีการสร้างแบบสอบถามประเภทมาตรประมาณค่า(Rating Scale) จากเอกสารที่เกี่ยวข้อง
2. ดำเนินการสร้างแบบสอบถาม โดยรวบรวมเนื้อหาจากเอกสารการวัด-ประเมินผลและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยทางการศึกษา โดยสร้างให้ครอบคลุมจุดประสงค์และจุดมุ่งหมายที่ต้องการวัดอย่างเหมาะสม ได้ข้อคำถามทั้งสิ้นจำนวน 20 ข้อ มีลักษณะเป็นแบบสอบถามประเภทจัดลำดับคุณภาพ โดยแปลความหมายของผู้ตอบแบบสอบถามแล้วประเมินเป็นค่าระดับคะแนนดังนี้
เห็นด้วยอย่างยิ่ง ให้ค่าระดับคะแนนเท่ากับ 5
เห็นด้วย ให้ค่าระดับคะแนนเท่ากับ 4
ไม่แน่ใจ ให้ค่าระดับคะแนนเท่ากับ 3
ไม่เห็นด้วย ให้ค่าระดับคะแนนเท่ากับ 2
ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ให้ค่าระดับคะแนนเท่ากับ 1
3.นำแบบสอบถามที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่านพิจารณาความตรงตามโครงสร้างเนื้อหา ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) .98 แล้วนำมาพิจารณาปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำ โดยมีผู้เชี่ยวชาญในการพิจารณาตรวจสอบคุณภาพจำนวน 3 คือ
1 นายยรรยง ผิวอ่อน ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ หัวหน้าหน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 2
2 นายสุภพ ไชยทอง ฝ่ายวิจัยและวัดผลการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 2
3. นายสนั่น เมยท่าแค ศึกษานิเทศก์ชำนาญการ ฝ่ายวิจัยและวัดผลการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาศรีสะเกษ เขต 2
4.นำแบบสอบถามที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองสอบถามนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบึง ตำบลดอนแรด อำเภอรัตนบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 2 จำนวน 21 คน
5.นำแบบสอบถามมาตรวจให้คะแนนรายข้อเพื่อหาประสิทธิภาพของแบบสอบถามดังนี้
5.1 หาค่าอำนาจจำแนก โดยใช้สูตร Bernnan ปรากฏว่าแบบสอบถามทั้ง 20 ข้อมีค่าอำนาจจำแนกมากกว่า 1.75 ทุกข้อ จึงถือว่าแบบสอบถามนี้มีค่าอำนาจจำแนก
5.2 หาค่าความเชื่อมั่น ด้วยวิธีครอนบาค (Cronbach) โดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่า (บุญชม ศรีสะอาด. 2543)
5.3 หาค่าเฉลี่ย (X) (ล้วน สายยศและอังคณา สายยศ . 2540)
5.4 หาค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) (ล้วน สายยศและอังคณา สายยศ. 2540)
แล้วนำผลที่ได้แปลความหมายตามเกณฑ์ดังนี้
ค่าเฉลี่ย 4.50-5.00 หมายถึง นักเรียนมีความรู้สึกและเจตคติต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะมากที่สุด
ค่าเฉลี่ย 3.50-4.49 หมายถึง นักเรียนมีความรู้สึกและเจตคติต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะมาก
ค่าเฉลี่ย 2.50-3.49 หมายถึง นักเรียนมีความรู้สึกและเจตคติไม่แน่ใจต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ
ค่าเฉลี่ย 1.50-2.49 หมายถึง นักเรียนมีความรู้สึกและเจตคติต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะน้อย
ค่าเฉลี่ย 0.00-1.49 หมายถึง นักเรียนมีความรู้สึกและเจตคติต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะน้อยที่สุด
ผลที่เกิดจากการนำนวัตกรรมไปใช้
1.แบบฝึกทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องการเขียนสะกดคำยาก สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านหนองตอ – บัวเสียว อำเภอรัตนบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์เขต 2 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน E1 /E2 80/80 โดยมีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.60 / 81.76 แสดงว่าแบบฝึกทักษะที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน
2.นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องการเขียนสะกดคำยาก ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จากการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ปรากฏว่าคะแนนการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าผลการทดสอบก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3.ผลการวัดเจตคติของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องการเขียนสะกดคำยาก สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านหนองตอ – บัวเสียว อำเภอรัตนบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์เขต 2 พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่มีเจตคติในระดับเห็นด้วยมากที่สุด โดยมีคะแนนเฉลี่ยของเจตคติในระดับ 4.64
คุณค่าของนวัตกรรม
จากผลการวิจัยพบว่าการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องการเขียนสะกดคำยาก สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านหนองตอ – บัวเสียว อำเภอรัตนบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์เขต 2 ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น ดังนั้นแบบฝึกทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องการเขียนสะกดคำยาก สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จึงเป็นสื่อที่สามารถเสริมความรู้ ความเข้าใจให้แก่นักเรียนได้ดีอีกชนิดหนึ่ง ในกรณีที่นักเรียนในชั้นเรียนความสามารถที่แตกต่างกัน ครูก็สามารถนำแบบฝึกทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องการเขียนสะกดคำยาก สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านหนองตอ – บัวเสียว อำเภอรัตนบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์เขต 2 นี้ไปใช้สอนซ่อมเสริมเพื่อแก้ปัญหาการเรียนช้าได้เป็นอย่างดี